ดร.สหธรณ์ เนาวรัตน์พงษ์ เชื่อว่าน้องไอนส์ ยังมีชีวิต หวังพึ่งเทคโนโลยีอนาคตมาชุบชีวิต
จากกรณีที่ ดร.สหธรณ์ เนาวรัตน์พงษ์ อายุ 42 ปี และ ดร.นารีรัตน์ เนาวรัตน์พงษ์ อายุ 39 ปี เจ้าของบริษัท TNC medditron จำกัด ซึ่งผลิตและวิจัยเครื่องมือทางการแพทย์ พ่อและแม่ของ ด.ญ.เมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ หรือน้องไอนส์ ที่เสียชีวิตด้วยมะเร็งสมองในวัยเพียง 2 ขวบ และได้ทำการแช่แข็งร่างของ น้องไอนส์ ไว้ที่ห้องปฏิบัติการของมูลนิธิ อัลคอร์ ไลฟ์ เอ็กซ์เทนชั่น รัฐแอริโซน่า สหรัฐอเมริกา เพื่อรอเทคโนโลยีในอนาคตชุบชีวิตลูกขึ้นมา ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้ว ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ดร.สหธรณ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับทางผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ว่า กระบวนการดังกล่าวเรียกว่า "Cryonic" ซึ่งคล้ายกับการจำศีลไว้ โดยที่ร่างกายไม่มีการหายใจ หัวใจไม่เต้น ไม่มีคลื่นสมอง กระบวนการนี้คล้ายๆกับที่ปรากฏในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ โดยตนได้ศึกษากระบวนการนี้มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1962 แล้ว มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง นักธุรกิจที่ได้เข้ากระบวนการดังกล่าวให้อยู่ในภาวะจำศีลเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมามนุษย์ได้ทดลองกับหนูกับกระต่ายและฟื้นคืนชีพมาได้ แต่ยังไม่เคยมีการทำกับมนุษย์ให้ฟื้นคืนชีพได้
ดร.สหธรณ์ เนาวรัตน์พงษ์ กล่าวต่อว่า 15 วันก่อนที่น้องไอนส์จะตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ได้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ตนจึงพาไปหาแพทย์ ตอนแรกแพทย์สันนิษฐานว่าอาหารเป็นพิษ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นมะเร็ง เนื่องจากอาการที่น้องไอนส์เป็นนั้น ค่อนข้างจะมีโอกาสเกิดกับคนได้น้อยมาก แต่เป็นอาการมะเร็งที่ร้ายแรงมาก หลังจากที่ทราบว่าลูกสาวป่วยเป็นมะเร็ง ตนก็คิดเรื่องกระบวนการจำศีลมาตลอด เพราะรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูก เมื่อน้องไอน์เสียชีวิตในวันที่ 8 ม.ค. 2557 เวลา 18.18 น. จึงได้เริ่มทำกระบวนการจำศีลทันที ขั้นตอนคือ ต้องทำด้วยกระบวนการแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกาย ลดอุณหภูมิร่างให้ต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลึกน้ำแข็ง ทำให้เย็นจัดด้วยอุณหภูมิ -90 องศาเซลเซียส จากนั้นก็ได้ติดต่อเรื่องการนำศพไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับการประสานช่วยเหลือจากมูลนิธิดังกล่าว เพราะหากเก็บไว้ที่ไทยก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก เมื่อทางสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยอนุญาตให้นำร่างน้องออกจากประเทศไทยไปที่สหรัฐอเมริกาได้ ก็เลยนำร่างน้องไอนส์ไปทันที โดยเก็บร่างน้องไอนส์ไว้ที่ประเทศไทยหลังจากเสียชีวิตเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น
ดร.สหธรณ์ เนาวารัตน์พงษ์ กล่าวอีกว่า น้องไอนส์ถือเป็นเด็กที่อายุน้อยสุดที่เข้ากระบวนการแช่งแข็งร่าง และเป็นกรณีแรกของเอเชีย สำหรับวงเงินในการทำกระบวนนี้นั้นตนไม่ขอเปิดเผย เนื่องจากสังคมไทยยังมีความเหลื่อมล้ำสูง คนรวยก็รวยมาก คนจนก็จนมาก หากเปิดเผยตัวเลขไป จะทำให้ทัศนะของคนในสังคมเกิดความคิดเห็นต่างๆนานา หากในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีดีขึ้น น้องไอนส์ก็จะฟื้นกลับมา ซึ่งก็ประมาณเวลาไม่ได้ แต่เทคโนโลยีนี้กำลังถูกพัฒนาเร็วขึ้น ทางครอบครัวตนจึงได้อัดวีดีโอไว้เพื่อบอกตอนน้องไอนส์ฟื้นให้ทราบว่า ตัวเองเป็นใคร ครอบครัวเป็นใคร และได้รับรู้ทัศนะต่างๆ หากตนได้เจอลูกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็จะพูดกับลูกว่า "มีชีวิต มีโอกาส” ทั้งนี้สำหรับตนนั้น น้องไอนส์ยังไม่ตาย เพียงแต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราพรากจากกัน หากเทคโนโลยีพร้อม น้องไอนส์ก็คงจะกลับมา ส่วนกรณีที่สังคมไทยมองว่าเป็นการเก็บศพไว้แบบนี้เหมือนกับการกักขังวิญญาณ ตนก็เป็นพุทธศาสนิกชนเหมือนกัน ไม่เชื่อว่ากรณีแบบนี้จะเป็นการกักขังวิญญาณ แต่ก็เข้าใจที่คนออกมาแสดงความคิดเห็น เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่มากในสังคมไทย อย่างไรก็ตามตนขอฝากให้ผู้คนสนใจมูลนิธิกองทุนวิจัยรหัสพันธุกรรมเพื่อรักษามะเร็งในเด็ก ซึ่งเป็นมูลนิธิของ รพ.รามาธิบดี ของ อาจารย์สุรเดช หงส์อิง เพราะจะช่วยชีวิตเด็กเป็นจำนวนมาก และรหัสพันธุกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเอาชนะมะเร็งได้ทุกชนิด และสามารถเอาชนะความแก่ได้อีกด้วย
CR : เดลินิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น