Vernier Caliper

Vernier Caliper
Vernier Caliper วัดชิ้นงานด้วยความละเอียด 0.01mm

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

แฟน Fast 7 เฮ! ศาลยกเลิกคำสั่งระงับฉายแล้ว

Fast 7
Fast and furious 7 กลับมาฉายในโรงภาพยนต์แล้ว

        ศาลแพ่งพิจารณาระงับคำสั่งงดฉายหนัง Fast 7 ชี้ยังมีข้อมูลต้องโต้แย้งและกระทบสิทธิ์ผู้อื่น
     
       ยังคงเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจไม่น้อยต่อกรณีที่บริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ยื่นหนังสือฟ้องร้องไปยัง "จา พนม" (ทัชชกร ยีรัมย์) หนึ่งในนักแสดงหนังเรื่อง Fast 7 รวมไปถึงบริษัท ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ ในฐานะผู้สร้าง และบริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ ฟาร์อีสต์ ประเทศไทย จำกัด (UIP) ในข้อหาละเมิดสัญญา พร้อมเรียกค่าเสียหายรวมกว่า 1,600 ล้านบาท ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองออกมาโดยให้ระงับการฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวที่จะเข้าฉายบ้านเราในวันที่ 1 เมษายนนี้ออกไปก่อน จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมายตามข่าวที่ออกมานั้น
     
        อย่างไรก็ตาม ล่าสุดในช่วงเช้าของวันนี้ (30 มี.ค.) ทางทนายจำเลยของทั้ง 3 ก็ได้เดินทางไปยังศาลอาญารัชดาเพื่อยื่นเรื่องไปยังศาลแพ่งในการขออุทธรณ์ให้พิจารณาเพิกถอนคำสั่งที่มีออกมาในก่อนหน้านี้ ซึ่งภายหลังจากการไต่สวนศาลแพ่งเองก็ได้มีคำสั่งยกเลิกการสั่งห้ามฉายภาพยนตร์ Fast 7 ที่สั่งเมื่อ 26 มีนาคม 2558 โดยศาลเห็นว่านอกจากโจทก์จะฟ้อง จา พนม ในคดีนี้ว่าผิดสัญญาแล้ว ยังได้ฟ้องคดีที่ศาลแพ่งกรุงเทพได้ด้วย
     
       แสดงว่าปัญหาเรื่องจา พนมผิดสัญญาหรือไม่ยังมีข้อโต้แย้งอยู่และต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป นอกจากนี้คำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์มุ่งเรียกค่าเสียหายเป็นสำคัญ และบทการแสดงของ จา พนม ก็มีนักแสดงอื่นเกี่ยวข้องด้วย การสั่งห้ามฉายภาพยนตร์จึงไปกระทบสิทธิ์ของบุคคลภายนอกจึงไม่เหมาะสม มีเหตุสมควรให้ยกเลิกคำสั่งศาลแพ่งที่สั่งไว้เดิม

Review Lenovo Yoga 3 Pro ไฮบริดครบเครื่อง เน้นบาง มี ตัวรับสัญญาณ WiFi ในเครื่อง

ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       นับว่าเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของเลอโนโว ในการที่ Lenovo Yoga 3 Pro ได้มีการผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องเเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว แสดงให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีว่า จุดเด่นอย่างการหมุนหน้าจอได้ 360 องศา เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในยุคปัจจุบัน
      
       เมื่อนับรวมไปกับการพัฒนาทางด้านหน่วยประมวลผลของอินเทล ที่มีการคิดค้น Intel Core M เพิ่มขึ้นมา ชูจุดเด่นเรื่องประสิทธิภาพในการประมวลผล แต่ใช้พลังงานต่ำ ยิ่งเข้ามาช่วยตอบโจทย์ในการใช้งานโน้ตบุ๊กเป็นอุปกรณ์พกพาได้มากขึ้น
      
       การออกแบบและสเปก
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       ในแง่ของการออกแบบต้องยอมรับว่า Yoga 3 ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของวัสดุที่ใช้งาน ความบาง น้ำหนัก บนจุดแข็งหลักคือการที่หน้าจอหมุนได้ 360 องศา โดยในรุ่นนี้ได้มีการเพิ่มความแข็งแรงของข้อต่อบานพับเข้ามาด้วยการนำเทคโนโลยีของข้อต่อนาฬิกาเข้ามาใช้งานร่วมกับแบบเดิม เพื่อให้ได้ความแข็งแรงในการพับจอได้มากขึ้น
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       ถัดมาในส่วนของวัสดุภายนอกจะใช้เป็นอะลูมิเนียมสีเงิน เพิ่มความหรูหราให้กับตัวสินค้ามากยิ่งขึ้น โดยจะมีเพียงสัญลักษณ์ของเลอโนโวติดอยู่ที่ขอบซ้ายบนเท่านั้น เช่นเดียวกับล่างเครื่องที่แทบจะถูกปล่อยโล่งไว้ทั้งหมด มีเพียงสัญลักษณ์การรับรองมาตรฐาน และสติกเกอร์ระบุรายละเอียดต่างๆของตัวเครื่อง กับยางไว้รองเครื่องเท่านั้น
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมาภายใน ส่วนของหน้าจอจะใช้กระจกแบบกอลิล่ากลาส ร่วมกับหน้า Full HD ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3800 x 1200 พิกเซล ที่สำคัญคือเป็นจอแบบ IPS ด้วย โดยมีสัญลักษณ์เลอโนโวสีเงินที่มุมซ้ายบน กล้องเว็บแคมตรงกลาง และสัญลักษณ์วินโดวส์ที่ล่างหน้าจอเท่านั้น แต่ก็น่าเสียดายที่บริเวณขอบจอยังค่อนข้างหนา ทำให้ดูแล้วตัวเครื่องจะค่อนข้างใหญ่ขึ้นมา
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       ในส่วนของบริเวณตัวเครื่อง จะมีการบุด้วยพลาสติกที่มีพื้นผิวคล้ายกับยางๆ ให้สัมผัสแล้วไม่รู้สึกว่าแข็งจนเกินไป โดยจะมีลวดลายจุดๆที่พื้นผิวด้วย ประกอบกับสัญลักษณ์แสดงการใช้เทคโนโลยีด้านเสียงของ JBL ที่มุมซ้ายบน และสติกเกอร์รบุหน่วยประมวลผลที่ใช้เป็น Intel Core M เครื่องแบบ UltraBook
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       เมื่อเจาะลึกเข้ามาที่บริเวณคีย์บอร์ด เลย์เอาท์ของคีย์บอร์ดจะเป็นแบบ 4 แถว ทำให้ในการใช้งานเบื้องต้นอาจงงเล็กน้อย อย่างปุ่มเปลี่ยนภาษา (`) ไปอยู่ที่มุมขวาสุดแทน ทำให้การเปลี่ยนภาษาที่คุ้นชินอาจลำบากไปบ้าง ต้องใช้การเปลี่ยนภาษาแบบกดปุ่มวินโดวส์และสเปซบาร์แทน
      
       ตัวคีย์บอร์ดมีขนาดใหญ่ได้ตามมาตรฐาน รองรับการพิมพ์สัมผัสได้เป็นอย่างดี น่าเสียดายที่รุ่นที่นำมาทดสอบยังไม่มีการสกรีนภาษาไทยเข้าไป แต่ถ้าคุ้นกับเลย์เอาท์คีย์บอร์ดแล้วก็สามารถใช้งานได้อย่างปกติ ที่สำคัญคือที่คีย์บอร์ดมีไฟ Backlit ด้วย ทำให้สามารถใช้งานในที่มืดได้อย่างสบายๆ
      
       ส่วนของตัวแทร็กแพด จะให้สัมผัสที่ค่อนข้างลื่นไหล มีการแบ่งส่วนคลิกซ้าย-ขวาอย่างชัดเจน รองรับการใช้งานแบบมัลติทัช กล่าวคือการใช้ 2 นิ้วพร้อมกันเพื่อเลื่อนหน้าจอ ร่วมไปกับการใช้ 3 นิ้ว และ 4 นิ้ว ในบางแอปพลิเคชัน
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       อีกจุดเด่นที่สำคัญของ Yoga 3 Pro คือเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อที่ให้มาค่อนข้างครบ โดยทางฝั่งซ้ายจะมี พอร์ตยูเอสบี 3.0 2 พอร์ต โดย 1 ในนั้นจะเป็นช่องสำหรับเสียบสายชาร์จด้วย ถัดมาเป็นพอร์ต miniHDMI และช่องเสียบการ์ดเอสดี
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       ส่วนทางฝั่งขวาจะมีพอร์ตยูเอสบี ที่มีโหมดสามารถเสียบชาร์จอุปกรณ์อื่นๆได้แม้ปิดเครื่องอยู่ ช่องเสียบหูฟัง ปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มล็อกการหมุนหน้าจอ ปุ่มรีสตาต ไฟแสดงสถานะ และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       สำหรับขนาดโดยรวมของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 330 x 228 x 12.8 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1.18 กิโลกรัม
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       สเปกภายในจะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลที่เป็น Intel Core M 5Y70 ความเร็ว 1.1 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพไปได้ถึง 2.6 GHz (เครื่องขายจริงเป็น Core M 5Y71 1.2 GHz สูงสุด 2.9 GHz) RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเป็น SSD 256 GB กราฟิกเป็น Intel HD 5300 ทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8.1
      
       ขณะที่แบตเตอรีภายในตัวเครื่องให้มา 44Wh 5,900 mAh ระยะเวลาการใช้งานจะอยู่ที่ราว 4-8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการใช้งาน โดยในตัวเครื่องก็จะมีโหมดประหยัดพลังงานอย่างการตัดการเชื่อมต่อ ลดความสว่างหน้าจอ ปรับการทำงานของซีพียู
      
       ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       จุดเด่นหลักของ Yoga 3 Pro คงหนีไม่พ้นการที่เป็น 2-1 โน้ตบุ๊ก ที่สามารถปรับหมุนได้ 360 องศา ทำให้สามารถเลือกใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Tent ที่คว่ำตัวเครื่องลง เพื่อแสดงหน้าจออย่างเดียว Stand คือการใช้โน้ตบุ๊กในแนวปกติ และ Tablet ด้วยการพับหน้าจอลงไปแนบกับคีย์บอร์ด
      
       โดยภายในเครื่องจะมีแอปที่คอยบอกรายละเอียดการใช้งานอย่าง Harmony ที่แสดงรูปแบบการใช้งานออกเป็นเปอเซนต์ และเทียบกับการใช้งานทั่วโลก โดยผู้ใช้สามารถเลือกดูสถิติได้แบบรายวัน สัปดาห์ เดือน และปี
      
       นอกจากนี้ ยังมีการแสดงผลแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยในเครื่อง รวมไปถึงเทรนด์ในการใช้งานของเครื่องอื่นๆ พร้อมกับเปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปดาวน์โหดลแอปพลิเคชันเพิ่มเติมจากวินโดวส์สโตร์มาติดตั้งเพื่อใช้งานได้ทันที
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       ยังสามารถเข้าไปตั้งค่าในส่วนของ Harmony Setting สำหรับควบคุมการใช้งานในโหมดต่างๆ เช่นเมื่อเปิดไฟล์เอกสาร จะปรับสีหน้าจอให้กลายเป็นสีเหลืองนวลพร้อมปรับลดความสว่างลงให้เหมือนอ่านหนังสือในโหมด Paper Display มีการปรับระบบเสียงเมื่อใช้งานโปรแกรมเล่นเพลง ภาพยนต์ เกม ในโหมด Intelligent Audio
      
       Motion Control สำหรับการใช้ท่าทางในการควบคุมตัวเครื่อง อย่างการสั่งหยุดเล่นหนัง Full Screen ในการสลับโหมดการแสดงผลปกติเข้าสู่การแสดงผลแบบเต็มหน้าจออัตโนมัติ Energy Manager ในการปรับการใช้งานพลังงานโดยอัตโนมัติ และ Touch เพื่อปิดการสัมผัสหน้าจอการพรีเซนต์เมื่ออยู่ในโหมดการใช้งานแบบโน้ตบุ๊ก
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       มี PC App Store สำหรับแนะนำแอปพลิเคชันที่น่าใช้งาน ซึ่งสามารถกดเข้าไปเพื่ออ่านรายละเอียด และเข้าไปดาวน์โหลดได้ทันทีเช่นเดียวกัน
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       ส่วน Motion Control อย่างที่กล่าวไปว่าเป็นระบบที่ใช้การตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ เพื่อสั่งงานตัวเครื่องผ่านกล้องหน้า โดยผู้ใช้สามารถทำนิ้วชี้ชูขึ้นมาเพื่อสั่งปิดเสียง ยกนิ้วโป้งขึ้นมาเพื่อหยุดเล่นภาพยนต์ที่รับชมอยู่ ปาดซ้าย-ขวา เพื่อเปลี่ยนรูปเป็นต้น ถือเป็นกิมมิคเล็กๆน้อยๆที่เพิ่มเข้ามาให้ใช้งานกัน
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       ด้วยการที่เลอโนโวเองก็มีการทำสมาร์ทโฟนด้วย ภายในจึงมีการติดตั้ง Phone Companion เพื่อเข้ามาให้ใช้ควบคุม และจัดการแอนดรอยด์โฟน อย่างการส่งข้อความ รับสาย จากโน้ตบุ๊ก พร้อมไปกับแอปอย่าง Share It ที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องผ่านไวไฟได้ทันที เพราะภายในตัวเครื่องมี ตัวรับสัญญาณ WiFi
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       นอกจากนี้ ก็ยังมีฟังก์ชันการจัดการพลังงาน OneKey Optimizer ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้เครื่องทำงานในโหมดประสิทธิภาพสูงที่สุด โหมดประหยัดแบตเตอรี รวมไปถึงในขณะชาร์จก็จะมีโหมดช่วยยืดอายุแบตเตอรีเข้ามาให้เลือกใช้ด้วยการรักษาประจุแบตเตอรีไว้ที่ 55-60%
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       ถัดมาก็คือเรื่องของการแสดงผลภาพที่ให้มากับหน้าจอความละเอียดสูง พร้อมไปกับลำโพงจาก JBL Audio ที่ช่วยเพิ่มพลังเสียงของ Yoga 3 Pro ให้สามารถใช้งานด้านมัลติมีเดียได้แบบเต็มรูปแบบ หรือถ้าใช้งานร่วมกับหูฟัง หรือลำโพง ก็จะมีตัวควบคุม MaxxAudio ขึ้นมาให้ปรับตั้งค่าอีควอไลเซอร์ต่างๆได้
      
       ส่วนที่เหลือก็จะเป็นการนำจุดเด่นของวินโดวส์ 8 ที่รอการอัปเดตเพิ่มเติมเป็นวินโดวส์ 10 ในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่า Yoga 3 Pro สามารถอัปเกรดเพื่อใช้งานได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจุดเด่นการใช้งานไมโครซอฟท์อย่าง โปรแกรมออฟฟิศ 365 ก็จะติดมาให้ใช้กันอย่างแน่นอน
      
      
ตัวรับสัญญาณ WiFi

      
       ทั้งนี้เมื่อทำการทดสอบด้วยโปรแกรมทดสอบ PCmark8 Home Conventional ได้ 1,525 คะแนน Creative Conventional ได้ 1,599 คะแนน Work Conventional 2,139 คะแนน Storage ได้ 4,927 คะแนน
      
      

      
       ส่วน 3Dmark Fire Strike 358 คะแนน Sky Driver 1,359 คะแนน Cloud Gate 2,577 คะแนน Ice Storm 28,499 คะแนน
      
       จุดขาย
      
       - โน้ตบุ๊ก 2-1 ที่หมุนจอได้ 360 องศา
      
       - ตัวเครื่องมีความบาง และน้ำหนักเบา แม้จะมีขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3800 x 1200 พิกเซล
      
       - แป้นคีย์บอร์ดมาพร้อมไฟ LED ทำให้สามารถใช้งานในเวลากลางคืนได้
      
       - มีกิมมิคเล็กๆน้อยๆอย่าง Motion Control มาช่วยเพิ่มความน่าสนใจ
      
       ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
      
       - ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี ยังมีข้อจำกัดอยู่ที่ราว 4-8 ขั่วโมง ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
      
       - การย้ายปุ่มเปลี่ยนภาษา (-) ไปอยู่ที่มุมขวา อาจส่งผลกระทบกับผู้ที่ชินกับการเปลี่ยนภาษาแบบเดิมๆ ทำให้ต้องใช้การกดปุ่มวินโดวส์ และสเปซบาร์แทน
      
       - ปุ่มทัชแพดยังไม่ฉลาดเท่าที่ควร อย่างการใช้มัลติทัช
      
       ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
      
       ด้วยการที่เลอโนโววาง Yoga 3 Pro มาเป็นโน้ตบุ๊กที่เน้นการพกพาออกไปใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาเป็นหลัก ประกอบกับการเลือกใช้หน่วยประมวลผลที่เป็น Intel Core M ที่มีจุดเด่นเรื่องการประหยัดพลังงาน และให้ความร้อนน้อย ซึ่งผลที่ออกมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะ Yoga 3 Pro เหมือนเป็นโน้ตบุ๊กที่ออกมาไว้ให้พกพาไปใช้งานได้ทุกที่
      
       แต่ถ้ามองในแง่ของประสิทธิภาพในการใช้งาน การประมวลผลของ Intel Core M ยังแรงสู้กับ Core i5 หรือ Core i7 ไม่ได้ ดังนั้นการใช้งานส่วนใหญ่จึงจบลงที่การใช้งานทั่วไปอย่างงานเอกสาร ทำรูป เล่นเน็ต ดูหนัง ฟังเพลง แต่ถ้าจะนำไปเล่นเกม หรือประมวลผลอะไรหนักๆ คงต้องมองข้ามไป
      
       ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับราคาจำหน่ายแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า Yoga 3 Pro ที่ 59,990 บาท ถือว่าเปิดราคามาค่อนข้างสูง แม้ว่ารุ่นที่ขายจริงจะใช้หน่วยประมวลผลเป็น Core M 1.2 GHz ก็ตาม แต่ถ้ามองในแง่ของความสะดวกสบายในการพกพา กับความหลากหลายที่ได้ทั้งโน้ตบุ๊ก และแท็บเล็ตที่ปรับรูปแบบการใช้งานได้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หรือถ้างบไม่ถึงจะรอ Yoga 3 ทางเลอโนโวก็มีแผนจะนำเข้ามาจำหน่ายเช่นเดียวกัน

CR : ASTV

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

รีวิว Central Embassy พาเดินห้างใหม่ สุดหรู ใจกลางกรุงเทพ


Central Embassy


Central Embassy ห้างสุดหรูแห่งใหม่ล่าสุดของไทย ที่เปิดตัวอย่างอลังการไปเมื่อ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา รวมร้านค้าแบรนด์เนมระดับไฮโซ เรียกได้ว่ามากที่สุดในไทย แถมตั้งสโลแกนไว้เลยว่าเป็น "Landmark แห่งเอเชีย"

วันนี้ได้มีโอกาสไปเดินชม แอบขอไฮโซกับเค้าบ้าง ซึ่งจะว่าไปก็มีอะไรน่าสนใจหลายอย่างเหมือนกันนะ

:: รู้จักกับ Central Embassy ::
  • ที่ดินบริเวณนี้เดิมเป็นสถานทูตอังกฤษ ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลประมูลมาได้ ชื่อก็เลยตั้งเป็น Central Embassy นั่นแล
  • เนื่องจากอยู่ติดกับ Central ชิดลม และก็ไม่ไกลจาก Central World ซึ่งก็มีร้านค้าเยอะอยู่แล้ว พอทำห้างใหม่เลยเน้นฉีกแนวมาทำเป็นห้างหรู พร้อมโรงแรม 5 ดาวไปเลย
  • หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า Central ชิดลมถือเป็นห้างที่คนเดินมีกำลังซื้อสูงมาก ใช้จ่ายต่อหัวเกือบจะสูงที่สุดในห้างไทย 
  • ตอนนี้เปิดแต่ส่วนห้างก่อน ส่วนของโรงแรมด้านบนตอนนี้ยังสร้างไม่เสร็จ จะเปิดปี 2558
  • คู่แข่งโดยตรงของ Central Embassy คือกลุ่มห้างระดับหรูอย่าง Gaysorn Plaza, Emporium
  • ห้างอยู่ติดกับ Central ชิดลม แต่ถ้าจะเดินทางมา แนะนำลง BTS เพลินจิตจะใกล้ที่สุด มีทางเชื่อมเข้าห้างเลย
  • ตัวห้างออกแบบเป็นรูป Infinity โค้งไปมา ขนาดห้างไม่ใหญ่มาก มี 6 ชั้น ระดับความใหญ่ใกล้เคียงกับ Terminal 21 
  • ถือว่าเป็นโครงการที่ใช้งบลงทุนต่อพื้นที่สูงที่สุดในไทย

Central EmbassyCentral Embassy

Central Embassy

พาเดิน Central Embassy

เดินทางมาง่ายที่สุดคือลง BTS เพลินจิต จะมีทางเชื่อมมาที่ห้างเลย เดินแค่ 100 เมตรก็ถึง

Central Embassy

ตัวห้างสร้างพร้อมใช้แล้ว แต่โรงแรมด้านบนกำลังสร้างอยู่

Central Embassy

บริเวณรอบๆ เป็นหญ้าเล็กๆ พื้นที่หน้าห้างแทบไม่มีอะไรเท่าไหร่

พอเดินเข้ามาเท่านั้นแหล่ะ โอ้โห !! สวยมาก ตกแต่งทั้งห้างเป็นสีขาว พื้นดูเนียน ทางเดินใหญ่ กว้าง ไม่มีร้านค้าอะไรคั่นตรงทางเดินเลย คือให้ความรู้สึกว่าหรูหรา ดูดี

Central Embassy

ดัวห้างทำเป็นรูป Infinity พอมองช่องตรงกลางเลยดูซ้อนๆ กัน สวยไปอีกแบบ


Central Embassy

ห้างเพิ่งเปิด มีร้านจองพื้นที่ครบแล้ว แต่เปิดให้บริการจริงๆ แค่ประมาณ 60% ยังมีร่องรอยการตกแต่ง กลิ่นสียังอยู่ ใครอยากมาเดินแบบเต็มรูปแบบรอซัก 1-2 เดือนน่าจะโอเค
Central Embassy


มีทางเชื่อมไปที่ Central ชิดลมด้วย ใครที่รู้สึกเขย่งขาเดินที่ Embassy ไม่ไหวก็กลับสู่โลกมนุษย์ได้จ้า #ฮา


Central Embassy

พื้นที่หลักคือแบรนด์หรูระดับไฮโซ


พื้นที่ร้านค้าที่เน้นมากที่สุดใน Central Embassy คือสินค้าแบรนด์เนม(โคตร)หรู คือมีเยอะมาก ใหญ่มากด้วย



ร้านทุกร้านตกแต่งแบบระดับ Flagship Store คือเป็นร้านต้นแบบได้เลย อย่าง Prada ใหญ่ 2 ชั้นเลยทีเดียว 


Gucci ก็มี 2 ชั้น วันนี้มีงานเปิดตัวด้วย ช่วงเย็นดาราเพียบ

Central Embassy

MIU MIU หรือที่หลายคนเรียก กาเบกาเบ ก็เพิ่งมาเปิดที่นี่


Red Valentino เด่นมาก
Central Embassy
Vivienne Westwood


Michael Kors หน้าร้านสวย แต่ยังไม่เปิด


รองเท้าญี่ปุ่นชื่อดัง Onitsuka Tiger ร้านใหญ่กว่าที่อื่น ซื้อช่วงเปิดตัวลด 10% ทั้งร้าน

สินค้าบริการทั่วไป ตกแต่งอย่างไฮโซ

นอกจากสินค้าแบรนด์เนมแล้ว ก็มีร้านค้าทั่วไปด้วยนะ ซึ่งแต่ละร้านก็แข่งกันตกแต่งให้เป็นระดับหรูขึ้นไปจากเดิมอีก ก็แปลกตาดีนะ

Central Embassy

TrueMove-H เปิดร้านโคตรใหญ่ คือข้างในมีครบเลยทั้งขายมือถือ, อุปกรณ์ไอที, จ่ายค่าบริการ, บริการหลังการขาย, True Coffee เข้าไปแล้วจะรู้สึกเลยว่ามันใหญ่มากๆ


iStudio by Copperwired สาขานี้ก็แตกต่างจากทุกสาขา คือใช้โต๊ะสีขาวล้วน จากปกติที่จะเป็นโต๊ะไม้ สอบถามกับพนักงาน บอกว่านี่คือโต๊ะที่แอปเปิลเป็นคนแนะนำและจัดส่งเข้ามาเองเลย


Central Embassy



Fotofiles ขายกล้อง แต่ทำร้านอย่างหรูเลย ราคาเท่าปกติด้วยนะ

ธนาคารกรุงเทพ ดูข้างนอกนึกว่าร้านขายเพชร คือสวยหรูมาก เข้าไปฝากถอน เปิดบัญชีอะไรได้ตามปกตินะ แต่อีกครึ่งหนึ่งจะเป็น Exclusive Lounge เฉพาะผู้ถือบัตรทองเท่านั้น ขอเข้าไปดูข้างใน บอกได้เลยว่าหรูมาก (ข้างในห้ามถ่ายรูป)


KBank ก็ตกแต่งสวยนะ มี Exclusive Lounge เหมือนกัน แต่ผมว่าของกรุงเทพสวยกว่า


Starbucks ที่นี่ถือว่าแตกต่างจากทุกที่เลย คือตกแต่งแนวอเมริกันคลาสสิค ข้างในชิวมาก ที่นั่งเยอะ และกว้าง มีช่องเสียบปลั๊กไฟแทบทุกโต๊ะ ช่วงนี้มีโปรซื้อครบ 600 บาทแถมแก้วฟรี 1 ใบด้วย

ร้านอาหาร เน้นแบรนด์จากต่างประเทศ


Central Embassy เน้นลูกค้าระดับไฮเอนด์ เพราะฉะนั้นเราเลยไม่ได้เห็นร้านอย่าง KFC หรือ Mc Donald แน่นอนจ้า 


Chikalicious ร้านเค้กชื่อดังจากนิวยอร์ค เปิดในไทยที่นี่สาขาแรก คนมาทดลองชิมเยอะมากๆ 

Central Embassy

Audrey ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศส ชอบตกแต่งร้านนี้มาก สวยยยยย


Dean and Deluca ร้านอาหารอเมริกันแบบดั้งเดิม ข้างในร้านใหญ่มากๆ ทำกันสดๆ ให้ดูเลยด้วย



Harrods ห้างดังจากอังกฤษ มีขายชา แล้วก็ขนมด้วยนะ คนต่อคิวซื้อขนมเยอะเหมือนกัน


Kyo by kyo Roll En ร้านขนมจากญี่ปุ่น คนเยอะมากเหมือนกัน ไฮไลท์อยู่ที่เค้กโรลของเขาเมพสุดๆ


The Girl & the Pig ร้านอาหารแนวออแกนิค 

EAT Thai ศูนย์อาหารอยู่ชั้นใต้ดิน เป็นจุดที่ผมชอบที่สุดแล้วใน Central Embassy คือที่นี่ตกแต่งแบบไทยๆ น่ารักๆ แต่แฝงความโมเดิร์นในตัว

วิธีใช้บริการคล้าย Food Loft คือรับการ์ดด้านหน้า มีมูลค่า 1,000 บาท แล้วก็ไปซื้อตามร้านที่เราสั่ง ตอนออกก็ยื่นบัตรให้พนักงาน จ่ายตังค์ทีเดียว (จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้)


ที่นั่งมีหลายแบบ ทั้งวงกลาม หรือแบบโต๊ะสี่เหลี่ยม


ตกแต่งความเป็นไทยตลอดทุกมุม 


เมนูอาหารเขียนบนกระจก เท่ห์ไหมล่ะ


อาหารแบบไทยๆ มีครบมาก ทั้งส้มตำ, ข้าวตามสั่ง, ขนมจีน, ไส้อั่ว, หมูปิ้ง, ผัดไทย, ไก่ย่าง, โรตี, ชาชัก ฯลฯ


มีมุมที่เป็นรถเข็นด้วยนะ จะเป็นร้านชื่อดังมาเปิดขาย

Central Embassy

มีโชว์แกะสลักผลไม้ ร้อยมาลัยด้วย

ครกตำส้มตำ เหนื่อยไหมล่ะนั่น


นอกจากอาหารแล้วก็มีขนมไทย ผัก ผลไม้ไทยขายด้านใน


ทดลองชิมชาชัก แก้วละ 40 บาท ข้าวขาหมูใส่ไข่ 85 บาท ตอนออกจ่ายตังค์ มีชาร์จค่าบริการอีก 7% ก็ถือว่าแพงอยู่ แต่ก็อร่อยจริงนะ คุณภาพดีเลย


เจอน้องแย้มาทำรายการพอดี

Central Embassy

ส่วนอื่นๆ 


ห้องน้ำที่นี่ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ตกแต่งหรูหราสวยงาม ไฮไลท์คือโถนั่งที่เป็นแบบญี่ปุ่น คือใช้ระบบอัตโนมัติ นั่งแล้วอุ่นๆ กดให้น้ำฉีดเองได้ เป่าลมให้ด้วย เหมือนกับที่ Terminal 21 แต่เท่าที่ลองของ Embassy คุณภาพดีกว่า


จอดรถฟรี 2 ชั่วโมงแรก ชั่วโมงต่อมาคิด 30 บาท/ชั่วโมง ถ้าจะจอดฟรี 4 ชั่วโมงก็ต้องซื้อ 800 บาทขึ้นไป

 

โรงหนังยังไม่เปิด ได้ยินว่าจะเปิดเดือนหน้า แต่ก็คงไม่ได้ไปใช้กันเท่าไหร่ เพราะที่นี่เป็นโรงหนังแบบ Diplomat Screen ค่าบัตรที่คอนเฟิร์มมาถูกสุด 1,000 - 1,500 บาท !! คือมีอาหารเสิร์ฟด้วย อารมณ์ประมาณ Enigma ที่พารากอน 

Central Embassy

:: สรุป ::

  • เป็นห้างสำหรับกลุ่มระดับไฮโซขึ้นไป ถ้าพนักงานออฟฟิศรายได้ปานกลางอย่างเราๆ ท่านๆ มาเดิน จะมีพื้นที่ใช้บริการได้ไม่ถึงครึ่ง
  • เดินทางสะดวก ใกล้ BTS, ลงทางด่วนก็มาได้ แต่รถค่อนข้างติด
  • สวย หรูหรา ตกแต่งเนี๊ยบ แบบที่พารากอนชิดซ้าย Emporium หลบมุมเลย
  • ร้านที่ให้บริการตกแต่งดีมากทุกร้าน ที่น่าสนใจคือร้านอาหารหลากหลาย เน้นชิคๆ ชิวๆ
  • Eat Thai ศูนย์อาหารด้านล่างเจ๋งมาก ขอแนะนำ
  • วัยรุ่นอาจจะไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไหร่ แต่คนทำงาน ผู้ใหญ่ ไฮโซทั้งหลายจะกรี๊ดมาก
  • ร้านยังเปิดไม่หมด ห้างยังใหม่มาก รอเปิดเต็มรูปแบบกว่านี้ในอีกซัก 1-2 เดือนค่อยมาก็ได้
  • แต่สำหรับใครที่กลัวตกเทรนด์ ก็แวะมา Check-in ซักรอบ Selfie ซัก 2-3 ใบ แค่นี้ก็กลับบ้านนอนหลับฝันดีแล้วจ้า


CR : http://www.khajochi.com/2014/05/review-central-embassy.html